เมนู

ปัญหาวาระ


อนุโลมนัย


1. เหตุปัจจัย


[676] 1. ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม
ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย

คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย.
2. ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาส-
ธรรม ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย

คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม
ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย
3. ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาส-
ธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย

คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม
ทั้งหลาย, ปรามาสธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ด้วยอำนาจของ
อธิปติปัจจัย.

2. อารัมมณปัจจัย


[677] 1. ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม ด้วย
อำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ เพราะปรารภปรามาสธรรม ปรามาสธรรม ย่อมเกิดขึ้น.
พึงกระทำมูล. (วาระที่ 2)
เพราะปรารภปรามาสธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม
ย่อมเกิดขึ้น
3. ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่
ไม่ใช่ปรามาสธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณา
ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภทานเป็นต้นนั้น ราคะ วิจิกิจฉา
อุทธัจจะ โทมนัส ย่อมเกิดขึ้น.
พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน.
ออกจากฌาน แล้วพิจารณาฌาน.
พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค, พิจารณาผล,
พิจารณานิพพาน.
นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู, แก่โวหาร, แก่มรรค, แก่ผล,
แก่อาวัชชนะ ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย.
พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ฯลฯ
กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ
บุคคลพิจารณาเห็นจักษุ ฯลฯ หทยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาส
ธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ
ปรารภจักษุเป็นต้นนั้น ราคะ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส ย่อมเกิดขึ้น.

บุคคลเห็นรูปด้วยทิพยจักษุ, ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ.
บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ด้วย
เจโตปริยญาณ
อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ, อากิญจัญญาย-
ตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัย
แก่กายวิญาณ.
ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ, แก่
เจโตปริยญาณ, แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ, แก่ยถากัมมูปคญาณ, แก่อนา-
คตังสญาณ แก่อาวัชชนะ ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย.
4. ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาส
ธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วย่อม
ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภกุศลกรรมนั้น ทิฏฐิ
ย่อมเกิดขึ้น.
พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ
ออกจากฌานแล้ว ฯลฯ.
บุคคลพิจารณา จักษุ ฯลฯ หทยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาส-
ธรรม ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักษุเป็นต้นนั้น ทิฏฐิ
ย่อมเกิดขึ้น.

5. ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาส
ธรรมและธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว ย่อม
ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภกุศลกรรมนั้น
ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น.
พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ
ออกจากฌาน ฯลฯ
บุคคลพิจารณาเห็นจักษุ ฯลฯ หทยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรา-
มาสธรรม ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักษุเป็นต้นนั้น
ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น.
6. ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม
เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ เพราะปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ฯลฯ มี 3 วาระ.

3. อธิปติปัจจัย


[678] 1. ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ด้วย
อำนาจของอธิปติปัจจัย

คือ เพราะกระทำปรามาสธรรมทั้งหลายให้เป็นอารมณ์ อย่างหนัก
แน่น ปรามาสธรรม ฯลฯ มี 3 วาระ พึงกระทำ อารัมมณาธิปติ อย่างเดียว
4. ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่
ไม่ใช่ปรามาสธรรม ด้วยอำนาจของอธิปติปัจจัย